เทศน์เช้า วันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมเนาะ แต่ถ้าคนไม่เคยเข้าวัดฟังธรรมมันก็เป็นเรื่องที่ว่าแปลกหู แต่ถ้าคนเข้าวัดประจำฟังทุกวัน เห็นไหม แต่ฟังทุกวันแล้วต้องให้เราเป็นคนใหม่ คือมันสะเทือนใจตลอด ถ้ามันสะเทือนใจตลอด เวลาเราฟังธรรมมันสะเทือนใจของเรานี่ขนลุกขนพองเลย คำว่าขนลุกขนพองนั่นล่ะคือมันได้ผล ได้ผลเพราะมันสะเทือนหัวใจ
กิเลสมันอยู่ที่หัวใจของเรานะ ถ้าหัวใจของเราไม่สะเทือน ดูสิการฟังเพลง การฟังฟ้อน กับการฟังเทศน์แตกต่างกันอย่างใด การฟังเพลง การฟังฟ้อน เห็นไหม มันรื่นเริงไปกับเขา แต่ถ้าการฟังเพลง เพลงนั้นเป็นเพลงชีวิต มันสะเทือนใจน้ำตาไหลนะ การฟังเพลงแล้วน้ำตาไหลมันสะเทือนใจไง สะเทือนใจก็น้ำตาไหล แต่ถ้าเราฟังธรรมล่ะ ถ้ามันสะเทือนใจ ธรรมมันมีสัจจะ
สิ่งที่เราฟังเพลง ฟังฟ้อน เวลามันพูดถึงการดำรงชีวิต ถ้ามันสะเทือนใจมันก็สะเทือนใจ สะเทือนใจมันก็สะเทือนใจแบบโลกๆ ไง ดูสิเราดูหนังดูละครมันสะเทือนใจไหม บางคน หนัง ละครบางเรื่องนะมันเหมือนชีวิตเราเลย มันลำบากลำบนเหมือนเรานี่แหละ แล้วพอเราไปดูเรื่องนั้นปั๊บมันก็สะเทือนใจเรา สะเทือนใจเราแล้วมันมีทางออกไหมล่ะ
เราสะเทือนใจมันก็สะเทือนใจแบบโลกๆ เห็นไหม แต่ถ้าสะเทือนใจทางธรรม นี่ธรรมมันเป็นอริยสัจ มันมีความจริงของมัน ความจริงของมันว่าชีวิตนี้เกิดมาจากไหน ชีวิตนี้เกิดมาจากพ่อจากแม่แน่นอน แต่ชีวิตนี้มันเกิดจากกรรม ชีวิตนี้เกิดมาจากกรรม เพราะชีวิตนี้มีต้นทุน มีต้นทุนเพราะมันมีตัวจิต
ตัวจิตคือตัวเรานี่แหละ ตัวจิตปฏิสนธิจิตมันมีกรรมดีกรรมชั่ว กรรมดีกรรมชั่วนั้นผลักดันให้จิตนั้นมาเกิดเป็นมนุษย์ในปัจจุบันนี้ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์เป็นปัจจุบันนี้ เราเกิดมาในพุทธศาสนาแล้วเรามีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ของเราทำไว้เป็นแบบอย่างนะ เห็นไหม ถ้ามันเป็นแบบอย่างนี่มันมีความละอาย มีหิริ มีโอตตัปปะ ถ้ามีความละอายต่อบาป ทำสิ่งใดมันต้องทำคุณงามความดีไง มันมีความละอาย
ถ้ามันไม่มีความละอาย มันทำสิ่งใดก็ได้ ธรรมะมันอยู่ข้างนอก แต่กิเลสมันอยู่ข้างในไง ธรรมะมันอยู่ข้างนอก เห็นไหม ดูสิฟังธรรม ธรรมก็เป็นกติกาอย่างนั้นแหละ แต่ข้างในเราคือหัวใจของเรามันดิ้นรนของมันไง มันทำแต่ความพอใจของมัน ทำแต่ความพอใจเพราะมันไม่มีความละอาย ถ้ามีความละอายนะมันทำไม่ลงไง มันทำไม่ได้ สิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่คนที่กระทำนี่เพราะเขาขาดสติหนึ่ง ขาดเพราะความจำเป็นบีบบังคับหนึ่ง
เวลาความจำเป็นบีบบังคับ อันนั้นก็อันหนึ่ง เห็นไหม ดูสิเวลาในพระไตรปิฎก ลูกศิษย์พระสารีบุตรนะ เวลาอยู่กับพระสารีบุตรนี่ได้ฌานสมาบัติแล้วสึกไป พอสึกไปก็เป็นโจรไปปล้นแล้วเขาจับได้ไง พอจับได้แล้วเขาจะประหาร พอจะประหาร.. พระสารีบุตรนะ อยู่ในพระไตรปิฎก พระสารีบุตรไม่ได้ไปทำสิ่งใด พระสารีบุตรไปเทศน์ไง ไปเทศน์บอกว่า ทำไม เราเคยทำอะไรไว้ ไปเตือนสติ เห็นไหม พอได้สติแล้วเข้าสมาบัติ
การเข้าสมาบัตินี่ คนเราจะโดนประหารมันไม่คิดเรื่องสมาบัติ ไม่คิดเรื่องธรรมะหรอก คนเรามันทำความชั่วมา มันทำความรุนแรงมา มันปล้น มันฆ่ามา มันทำมา ถึงเวลาแล้วโทษประหารเขาก็ใส่ตรวนไว้ไง เขาใส่ตรวนไว้ พระสารีบุตรไปเทศน์นะ ไปเทศน์ให้เขาได้สติ พอเขาได้สติขึ้นมานี่เขาเข้าสมาบัติ พอเข้าสมาบัติแล้วเขาหลุดจากตรวนนั้นแล้วเขาเหาะไปได้เลย เขาเอาชีวิตออกไปได้
ถ้าคิดอย่างนี้ก็บอกว่าพระสารีบุตรไปช่วยนักโทษประหารใช่ไหม นักโทษประหารส่วนนักโทษประหาร แต่เวลาพระสารีบุตรไปเทศน์ธรรมะ พอเทศน์ธรรมะ เขาได้ฟังธรรมะแล้วเขามีสติ เขาเคยทำฌานสมาบัติได้
คำว่าฌานสมาบัตินี่มันฌานโลกีย์ เห็นไหม พอฌานโลกีย์ขึ้นมา เวลาเขาสึกออกไป เขาก็มีความจำเป็น เขาไปอยู่ในสภาพใด เขาก็ทำปล้นฆ่าของเขาไปประสาเขา แล้วเขาก็โดนจับ พอโดนจับขึ้นมา จิตใจของคนมันหนักหน่วง จิตใจของคนมันคิดแต่เรื่องชีวิตของเขาที่จะโดนชำระโทษ มันคิดสิ่งใดไม่เป็นหรอก มันคิดเชื่อสิ่งที่เคยทำนี่มันคิดไม่ออก เพราะมันละเอียดลึกซึ้งเกินไป พอพระสารีบุตรไปเทศนา ไปเตือนสติ เห็นไหม พอเตือนสติได้เขาต้องเข้าของเขาได้ พอเข้าของเขาได้ เขาก็มีฤทธิ์มีเดชจะเหาะลอยออกไปจากสิ่งจองจำนั้นได้ นี่มันเป็นคุณสมบัติของเขา เป็นการกระทำของเขา
คนเรานี่ คุณงามความดี ใจของปรารถนาดีทั้งนั้นแหละ แต่เวลามันถึงคราวจำเป็น ถึงต่างๆ มันบีบบังคับเรามา ถ้าบังคับเรามา เวลาทำแล้วกรรมให้ผลไหม ให้ผลเด็ดขาด ถ้าไม่ให้ผลทำไมเขาโดนจับ ถ้าไม่ให้ผลทำไมเขาถึงโดนประหาร นี่สิ่งนี้คือให้ผลของเขา เห็นไหม แต่เขาเคยบวช เคยทำคุณงามความดีของเขามา คุณงามความดีนั้น ถ้าเขาเข้าของเขาได้ เขาก็เหาะลอยของเขาไป เขาก็เอาชีวิตของเขารอดไป ถ้ารอดไปนี่เขาจะทำอย่างไรอีกต่อไปล่ะ นั่นเป็นเรื่องของเขา
นี่พูดถึงการกระทำ ว่าจิตที่มันเกิดมันมีจิตของเรา เห็นไหม มีเวรมีกรรมของเรา เราทำคุณงามความดีของเรามา เราถึงมาเกิดเป็นมนุษย์ ฉะนั้นความเป็นมนุษย์มีค่า มีค่าเพราะว่าเรามีอิสรภาพ เราทำสิ่งใดก็ได้ เราทำความดีก็ได้ เราทำความชั่วก็ได้ เราทำสิ่งใดก็ได้ แต่ถ้าเรามีสติเราจะไม่ทำ เห็นไหม พอไม่ทำนี่มันลงใจในพุทธศาสนา
ทีนี้พุทธศาสนามันเป็นนามธรรม ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราว่าวัดก็คือสิ่งปลูกสร้าง วัดก็คือวัตถุต่างๆ ที่เรามองเห็นได้ เราจับต้องได้ แต่เราไม่คิดหรอกว่าศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นนามธรรม ถ้าเป็นนามธรรม เห็นไหม ถ้าจิตใจเราศึกษาขึ้นมาแล้วมีการยอมรับ
การยอมรับนะยังไม่เป็นความจริง การยอมรับคือจิตใจมันลงขึ้นมา มันมีความละอาย มันมีความเกรงกลัว ดูสิเวลาถือศีล เห็นไหม ทุกคนว่ากลัวผิดไปหมดเลย ขยับซ้ายก็ผิด ขยับขวาก็ผิด นี่เวลากิเลสมันอยู่กับเรา นู่นก็ผิด นี่ก็ผิดไปหมดเลย แต่ถ้าเรามีสติของเรานะ เรารักษาของเรา พอมีสติขึ้นมา ความที่ว่ามันจะผิดมันจะถูกมันไม่คิดไง พอไม่คิดแล้วมันก็ไม่เกร็งไง
พอไม่เกร็งมันผิดถูกได้ไหม มันก็ยังผิดถูกได้อยู่ ขณะไม่เกร็งนะเราทำตามสัจธรรม เราทำตามธรรมชาติของเรา นี่มันมีความพลั้งเผลอได้ คนเราเวลาขาดสติมันพลั้งเผลอได้ ถ้าพลั้งเผลอได้เราก็ตั้งต้นใหม่ๆ ตั้งต้นใหม่แล้วเราพยายามสร้างของเรา.. ถ้ามันมีสติ มีปัญญาขึ้นมานะ พอเรามีความซาบซึ้งกับธรรมขึ้นมาแล้วจะอุทานทั้งนั้นแหละ ถ้าใครทำของมันขึ้นมาแล้วมันจะอุทาน แต่อุทานนี่อุทานในทางที่ถูกต้อง อุทานแล้วมันยังหลงใหลได้ก็อีกเรื่องหนึ่ง ถ้าอุทานแล้วนะเราพยายามทำให้มันลึกซึ้งเข้าไป
ถ้าลึกซึ้งเข้าไป เห็นไหม พอมันลงใจกับศาสนา ลงใจกับศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันมีจะหิริ มีโอตตัปปะ แต่ถ้าไม่ลงใจนะมันกระด้าง พอมันกระด้างขึ้นมามันก็คิดว่าธรรมะอยู่ข้างนอก กิเลสมันอยู่ข้างใน ธรรมะเป็นหน้าฉาก เอาธรรมะเป็นหน้าฉากมาแอบอ้างกันไป แล้วพอทำสิ่งใดก็ทำตามความพอใจของตัวนะ
เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านพูด เห็นไหม ประชาชนเขาเห็นพระเขาก็เกรงใจ เขาก็ไม่กล้าติ ไม่กล้าว่า แล้วเราก็บอกว่าพูดถึงพระแล้วมันก็จะเป็นบาปเป็นกรรม แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับบริษัท ๔ เห็นไหม ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
เราเป็นอุบาสก อุบาสิกา เราก็สามารถพูดได้ แต่ในปัจจุบันนี้เทคโนโลยีมันมี ต่างๆ มันมี เวลาพูดออกไป ถ้าไม่มีเหตุไม่มีผล ไม่มีหลักฐานนะ เราเองเท่ากับไปกล่าวตู่เขา เหมือนกับเราก็ไปเจาะจงทำผิดเขา มันก็ไม่ควรใช่ไหม ฉะนั้นเราก็ต้องดูของเรา เราต้องมีเหตุผลของเรา เราดูของเราว่ามันถูกผิดแค่ไหน ถ้ามันถูกผิดแค่ไหนนะ ฉะนั้นในบุคลากร ในภิกษุของเรามันก็อยู่ที่ว่าเราจะเลือกเอาไง เราต้องเลือกของเราเอาเอง
วัวใครเข้าคอกเขา คนได้สร้างบุญสร้างกรรมต่อกันมา มันจะเชื่อฟังกัน เราก็เห็นว่ามันผิดมันถูกขนาดนั้นทำไมเขาเชื่อกันได้ ทำไมเขาไปกันได้ มันก็น่าสังเวชนะ แต่เวลาเราบอกว่าเราไปในทางที่ถูกต้อง ในทางที่ดีงาม ทางที่ถูกต้องดีงามแล้วมันมีผลแค่ไหนล่ะ? ความถูกต้องดีงามมันมีผลแค่ไหน? มันมีผลแค่ถ้าเราทำได้จริง!
ถ้าเราทำได้จริง เห็นไหม จิตใจมันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา เวลาสัจธรรมเหมือนไม้หลัก ๔ ศอกปักลงไปในดิน นี่ ๔ ศอกพ้นจากดินมา มันจะโดนลม โดนแดดกระทบขนาดไหนนะมันก็ไม่สะเทือน คำว่าไม่สะเทือนเพราะมันมีหลักจริงไง
ถ้ามีหลักจริง เห็นไหม สิ่งที่โลกธรรม ๘ ติฉินนินทา คำว่าติฉินนินทา การสรรเสริญนี่มันจริงหรือเปล่า ถ้าเราเป็นคนไม่ดี สรรเสริญใครก็สรรเสริญได้ จ้างให้ใครมาสรรเสริญก็ได้ พอสรรเสริญขึ้นมาแล้วมันจริงหรือเปล่าล่ะ อย่าว่าแต่ติฉินเลย เขาชมเรานี่จริงหรือเปล่า นี่คนดีเป็นคนดี คนนั้นเป็นคนดี มันดีของใคร มันดีของโลกไง มันไม่ดีตามความเป็นจริงไง
เวลาดีของเรา เรานั่งสมาธิ ภาวนา เราว่าเราดีของเรา เขาบอกคนนี้ไม่เอาไหนนะ คนนี้ไม่มีความรับผิดชอบสังคม ไม่รับผิดชอบใครเลย เอาตัวรอดคนเดียว.. ขอให้มันรอดได้จริงเถอะ ถ้ามันรอดได้จริง นี่ถ้าความดีของเรามันมีจริงนะ เรามีหลักมีจุดยืนของเรา ถ้ามีจุดยืนของเรา เราจะเอาตัวรอดได้นะ เราจะทำของเราได้.. ถ้ามันมีความจริงให้เขาว่ามา เพราะคำพูดนั้นมันเป็นคำพูด มันจริงหรือไม่จริง คนพูดมันรู้หรือเปล่า แต่ถ้าเรารู้ของเรา ถ้ามันไม่เป็นความจริงของเรานะ เขาจะพูดอย่างไรมาเราก็หวั่นไหว
การหวั่นไหวนั้นมันแสดงออกถึงความไม่จริง ถ้าไม่จริงแล้วเราทำทำไม ถ้าไม่จริงแล้วทำทำไมล่ะ แต่มันก็ยังอยากทำ เห็นไหม แล้วความจริงทำไมไม่ทำ แล้วพอความจริงทำขึ้นมา เราบอกเราทำความจริงขึ้นมา เรามาทำความดีแล้วมันได้อะไรขึ้นมา.. มันได้ความสัมผัสของใจ ใจสัมผัสสิ่งใด ใจทำสิ่งใด เห็นไหม ดูภาพประทับใจสิ ภาพประทับใจของคน ถ้ามีสิ่งใดประทับใจ มันจะฝังของมันไป
นี่ก็เหมือนกัน ภาพประทับใจของเรา ถ้าเราเชื่อมั่นของเรา เราทำความจริงของเรา เห็นไหม มันได้ภาพความประทับใจของมันไป ดูสิเวลาพระสารีบุตรไปเอาลูกศิษย์ของพระสารีบุตร ความประทับใจของเขา เขาได้ฌานสมาบัติมาตั้งแต่สมัยเขาบวชอยู่ เวลาเขาสึกไปแล้ว เขาไปทำความเลวร้ายของเขาจนเขาเป็นนักโทษประหารนะ นี่พระสารีบุตรไปเทศนาว่าการให้เขาได้สติอย่างนั้นขึ้นมา แล้วให้เขากำหนดสิ่งนั้นมา พอกำหนดสิ่งนั้นมา พอฤทธิ์มันมี เพราะฌานสมาบัติเข้าฤทธิ์เดชนี่ หลุดออกจากโซ่ตรวนทั้งหมดแล้วเหาะลอยออกไป
นี่ก็เหมือนกัน ความประทับใจของเรามันจะเป็นเข็มทิศดำรงชีวิตของเรา ให้เราทำคุณงามความดีของเรา แล้วทำคุณงามความดีของเราใช่ไหม เราตั้งสติของเรา ทำคุณงามความดีของเรา สัจธรรมของเรา เราทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรา เห็นไหม ถ้าประโยชน์กับเรา มันเป็นความจริง ความจริงใช้เมื่อไหร่ก็ได้
ดูสิเวลาเขาสึกออกไป เขาไปปล้นฆ่า เขาไปทำต่างๆ เวลาเขากลับมาทำคุณงามความดีของเขาอีก ความดีในใจของเขานั่นแหละ แต่นี้มันไม่ใช่อริยสัจ มันเป็นฌานสมาบัติ สิ่งที่เป็นฌานสมาบัติมันเป็นฤทธิ์ของใจเท่านั้นเอง ถ้ามันแก้ไขในหัวใจขึ้นมา มันดัดแปลงในหัวใจเข้ามา ตั้งแต่เป็นขั้นเป็นตอนเข้ามา มันชำระล้างสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในใจเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป เห็นไหม นี่สัจธรรมเป็นแบบนี้!
ถ้าสัจธรรมเป็นอย่างนี้ มันไม่ใช่ธรรมะอยู่ข้างนอก กิเลสอยู่ข้างใน แล้วก็ทำแต่ตามใจตัว ถ้าธรรมะอยู่ มันละเอียดเข้ามาถึงข้างในใจของเรา ใจเราเป็นธรรมๆ เห็นไหม ใจเราเป็นธรรมด้วย ไม่ใช่ว่าธรรมอยู่ข้างนอกแล้วกิเลสอยู่ข้างใน แต่ถ้าข้างนอกก็ธรรม ข้างในก็ธรรม ที่ไหนก็ธรรม! ถ้ามันเป็นธรรมทั้งหมดมันมีหลักมีเกณฑ์
นี่ที่เรามาหมั่นเพียรกันอยู่นี้ เขาบอกว่าทำไมเราไม่ใช้ชีวิตตามปกติธรรมดาของเรา ทำไมเราต้องมาทุกข์มายาก มาทุกข์มายากก็เพราะว่าชีวิตมีค่า การดำรงหน้าที่การงานของเรา เราก็ดำรงเพื่อเลี้ยงธาตุขันธ์ ร่างกายนี้ ถ้าธาตุขันธ์ ร่างกายนี้มันมีปัจจัยเครื่องอาศัย นี้เวลาพระบวชมาต้องปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ไง ถ้าปัจจัย ๔ เราสมบูรณ์แล้ว สิ่งอื่นมา ถ้าเรามีปัญญาเราใช้ประโยชน์ขึ้นมา สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์กับเรา นั่นประโยชน์จากการเสียสละทาน เห็นไหม ทาน ศีล ภาวนา
ประโยชน์กับการเสียสละอย่างหนึ่ง ประโยชน์จากการกระทำอย่างหนึ่ง ประโยชน์ในการปฏิบัติอย่างหนึ่ง แล้วถ้าประโยชน์มันเกิดศีล สมาธิ ปัญญาในหัวใจเราขึ้นมา ใครรู้ใครเห็นศีล สมาธิ ปัญญาที่มันเกิดเป็นมรรคญาณในหัวใจของเราแล้ว จะเข้าใจตามความเป็นจริงว่าสิ่งที่เราทำๆ มา เห็นไหม
มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด
สิ่งที่ทำเป็นมรรคหยาบๆ ดำรงชีวิตก็เป็นเรื่องหยาบ ทำคุณก็เรื่องหยาบ เรื่องทาน การเสียสละทาน การมีศีล การภาวนา มันจะละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไป ถ้าเราไปถึงมรรคญาณที่เราเห็นตามความเป็นจริงมันจะซึ้งมาก แล้วมันจะรู้ได้ว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิดไง
สิ่งที่ว่าถูกที่ว่าผิด มันไม่ผิดหรอก มันเป็นการเริ่มต้นจากพื้นฐาน การเริ่มต้นจากการกระทำของเราขึ้นมา ทีนี้เพียงแต่มันผิดตรงไหน ผิดที่ไปยึดไง ผิดที่ไปยึดว่าอันนี้ใช่ อันนี้ใช่ นี่มันต้องวางๆๆ วางมา มันก็จะละเอียดๆ เข้ามา จนถึงความจริงขึ้นมานี่ อ๋อ! พออ๋อแล้วก็จบเลย เห็นไหม
ถ้าเราทำได้อย่างนี้ เรามองโลก มองสิ่งต่างๆ แล้วเตือนตัวเอง ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว นี่ดูการกระทำของโลก ดูตามที่เขาใช้ชีวิตกันแบบว่าสุรุ่ยสุร่าย ใช้ชีวิตของเขาแบบเสียเปล่า แล้วเราใช้ชีวิตของเรา นี่เราก็อยู่กับโลกเขา แล้วเราใช้ชีวิตของเราเพื่อประโยชน์กับเราด้วย
ในปัจจุบันนี้เราก็อยู่ในสังคมได้ ถ้าหัวใจเรามีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมานะ มีหลักมีเกณฑ์จริงๆ แล้วมีหลักมีเกณฑ์ ถ้ายังไม่สิ้นสุดแห่งทุกข์มันจะพาเกิดพาตาย ถึงจะเกิดตายขึ้นมาก็อย่างที่เราเกิดมาแล้วไม่ให้มันทุกข์ยากจนเกินไปนัก ถ้าเกิดมาแล้วมันก็มีพอสมดุลกับการกระทำของเรา อันนี้มันจะเป็นผู้ที่เกิดมาแล้วไม่เสียชาติเกิด มีสติ มีปัญญาเพื่อชีวิตของเรา เอวัง